วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ดอกไม้มห้ศจรรย์ รักษาโรค

ดอกไม้ต้านมะเร็ง


  ความลงตัวของธรรมชาติ กับสุขภาพดีแบบเน้นๆสมุนไพรต้านมะเร็ง ใครว่าจะต้องเป็นพืชที่มีแต่สีเขียว ๆ เสมอไป ดอกไม้สีสันสวยงามที่เราเห็นผ่านตากันเป็นประจำก็ช่วยป้องกันมะเร็งได้ หากเพียงเลือกมารับประทานให้ถูกชนิด
   ดอกไม้ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้คือหนึ่งในสิ่งที่สามารถช่วยจรรโลงใจของเราได้ สีสันที่สดใสสวยงามนั้น เวลาที่ได้มองแล้วก็สามารถทำให้ความรู้สึกห่อเหี่ยว หรือแม้แต่อารมณ์ที่บูดบึ้งบรรเทาลง เป็นอาหารตาที่ดีเยี่ยม แต่ก็มีดอกไม้อีกหลากหลายชนิดเช่นเดียวกันที่ยังกลายมาเป็นอาหารรสชาติโอชา และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ดอกไม้ที่เราเห็นกันทั่วไปบางสายพันธุ์ซุกซ่อนคุณประโยชน์เพื่อสุขภาพไว้อย่างมหาศาล จนทำให้เราต้องประหลาดใจ อย่างเช่นที่เก็บมาฝากในวันนี้ ซึ่งแต่ละชนิดมีการศึกษายืนยันแล้วว่าช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ อีกทั้งยังมีสรรพคุณทางยามากมายจนต้องทึ่งเลยทีเดียวค่ะ


1.หัวปลี

หัวปลี หรือส่วนช่อดอกของต้นกล้วย เป็นอีกส่วนหนึ่งของกล้วยที่เรานิยมนำมาปรุงเป็นอาหารหลากหลาย เนื่องจากเจ้าหัวปลีนั้นมีประโยชน์มากมาย ไม่เพียงแต่มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่ช่วยยับยั้งการกลายพันธุ์ของเซลล์ไม่ให้กลายเป็นเซลล์มะเร็ง แต่ยังมีแร่ธาตุและวิตามินที่เหมาะสมกับคนทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม แมกนีเซียม และวิตามินอี อีกทั้งยังมีไฟเบอร์สูง และแคลอรีไม่สูงจนเกินไปอีกด้วย
2.ดอกขจร

ดอกขจร หรือดอกสลิด ไม่ใช่เพียงแค่มีประโยชน์ที่กลิ่นหอมเท่านั้น แต่ก็ยังเป็นอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย เพราะดอกขจรนั้นเป็นดอกไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และฟอสฟอรัส แถมยังสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายเลยเชียวล่ะ
ทั้งนี้สรรพคุณทางยาของดอกขจรก็ไม่ใช่เล่น ๆ ที๋โดดเด่นที่สุดก็คือสรรพคุณในด้านการบำรุงฮอร์โมนในเพศหญิง อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน รักษาไข้หวัดที่เกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลง บำรุงตับ บำรุงสายตา ขับเสมหะ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แถมยังบำรุงเลือดได้อีกด้วย ถือเป็นดอกไม้ที่ครบเครื่องทั้งความสวยงาม กลิ่นหอม และประโยชน์เลยล่ะเนอะ
3.ดอกเข็ม

ดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ที่มักปลูกเป็นไม้ประดับ รวมทั้งเป็นดอกไม้มงคลในพิธีไหว้ครูอย่างดอกเข็มนั้น อย่าเพิ่งคิดว่ามีแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่สรรพคุณทางยาก็มีไม่น้อย ที่สำคัญเจ้าสรรพคุณเหล่านี้ยังกระจายอยู่แทบจะทุกส่วนของต้นเลยล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นใบ ราก หรือแม้แต่ในดอกเข็ม ก็ล้วนแต่สามารถรักษาอาการป่วยต่าง ๆ ได้ค่ะ อาทิ ช่วยสมานแผล รักษาอาการสะอึก คลื่นไส้ อาการเบื่ออาหาร บรรเทาอาการเจ็บคอ หลอดลมอักเสบ โรคหอบหืด ลดความดันโลหิต การติดเชื้อที่อวัยวะสืบพันธุ์ในเพศหญิง แก้ประจำเดือนผิดปกติได้ด้วย
4.ดอกแค

ดอกไม้ที่เป็นพืชสมุนไพรยอดนิยมอย่างดอกแค เป็นดอกไม้อีกชนิดที่เรามักจะเห็นว่ากลายมาเป็นอาหารขึ้นโต๊ะกันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะมีผลการศึกษาพบว่าช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ แต่จริง ๆ แล้วเจ้าดอกแคนี้มีสรรพคุณดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้โรคบิด แก้มูกเลือด แก้ท้องเดิน อุจจาระร่วง ได้
ทั้งนี้ในการแพทย์แผนอายุรเวทก็ยังมีการนำดอกแคมาคั้นเป็นน้ำแล้วนำไปใช้ในการรักษาริดสีดวงจมูก แก้ปวดศีรษะได้ หรือจะนำส่วนที่เป็นใบมาตำพอกรักษาแผลช้ำได้ แถมเจ้าดอกแคนี้ยังมีโปรตีนสูงอีกด้วย เอาเป็นว่าดอกแคนี่มีประโยชน์ไม่แพ้กับดอกไม้ชนิดอื่นเลยเชียวล่ะค่ะ
5.ดอกบัว

หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าดอกบัวเนี่ยล่ะมีสรรพคุณทางยาเพียบเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็นสรรพคุณในการเป็นยาขับปัสสาวะ ป้องกันการเชื้อรา ป้องกันการเกิดโรคอ้วน หรือแม้แต่ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นดอกบัว หรือส่วนอื่น ๆ ของดอกบัวนั้นก็ล้วนแต่ถูกนำมาใช้ในยาแพทย์แผนโบราณทั้งนั้น
โดยสรรพคุณที่เด็ดดวงที่สุดของดอกบัวนอกจากต่อต้านการเกิดมะเร็งก็คือการป้องกันการตกเลือดและบำรุงครรภ์สำหรับสตรีมีครรภ์ และช่วยขับน้ำนมให้กับคุณแม่ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร รวมทั้งบรรเทาอาการท้องเสีย แก้พิษไข้ รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนองใน ซิฟิลิส โรคไขข้ออักเสบ โรคเบาหวาน ลดความดันโลหิต ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดซึ่งดีกับหัวใจ และถ้าหากนำดอกบัวมาตากแห้งและชงดื่มเป็นชาก็จะยิ่งช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ ช่วยลดน้ำหนัก และสร้างเสริมระบบสืบพันธุ์ในทั้งเพศชายและหญิงอีกด้วย
ในด้านความงาม ดอกบัวก็ให้สรรพคุณดีไม่แพ้กัน ทั้งช่วยปรับสภาพผิวให้เนียนนุ่มเปล่งปลั่งขึ้นอีกด้วยล่ะ สรรพคุณเริด ๆ แบบนี้สาว ๆ ไม่น่าจะมองข้ามเลย
6.ดอกเฟื่องฟ้า

ดอกเฟื่องฟ้ามีหลากหลายสีสันที่สวยงาม แต่ที่ถือว่ามีสรรพคุณโดดเด่นในการช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็งได้ก็น่าจะเป็นดอกเฟื่องฟ้าที่มีสีม่วง แดง และชมพู เนื่องจากทั้งสามชนิดนี้มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) สูง นอกจากนี้ก็ยังมีการศึกษาพบแล้วว่าเจ้าดอกเฟื่องฟ้านี่ล่ะที่ช่วยบำรุงสุขภาพและมีสรรพคุณรักษาโรคดีอย่างแท้จริง อาทิ ช่วยป้องกันการติดเชื้อ รักษาอาการท้องเสีย ช่วยในการคุมกำเนิด รักษาอาการไอและเจ็บคอ บำรุงเลือดและขับระดูขาวในผู้หญิง อีกทั้งช่วยลดความดันโลหิต และบำรุงหัวใจ
สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน การรับประทานดอกเฟื่องฟ้าก็ยังทำให้ร่างกายได้รับไพนิทอล (Pinitol) ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการสนับสนุนการทำงานของอินซูลิน โดยมีการศึกษาพบว่า หากสารนี้เข้าสู่ร่างกายแล้วจะช่วยให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้นค่ะ
7.ดอกโสน

มาถึงดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารอย่างดอกโสน ซึ่งเป็นพืชที่มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซิน และวิตามินซีสูง ที่แค่เพียงรับประทานเข้าไปก็ได้ผลดีบำรุงกระดูกให้แข็งแรง บำรุงสมอง อีกทั้งช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์ และมีการศึกษาพบว่าในดอกโสนมีสารเควอเซทิน ไกลโคไซด์ ซึ่งเป็นสารฟลาโวนอยด์ที่สำคัญ มีฤทธิ์ในการทำลายและยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็งได้
ขณะที่สรรพคุณทางยาของดอกโสนนั้นก็มาจากฤทธิ์เย็นของดอกโสน ที่เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยแก้พิษร้อน ถอนพิษไข้ได้เช่นเดียวกับดอกแค จึงทำให้ดอกโสนนั้นกลายเป็นอีกหนึ่งอาหารที่คนชอบหารับประทานกันค่ะ
8.ดอกอัญชัน

นอกจากสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่มีอยู่ในดอกอัญชันจะช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งได้ เจ้าสารชนิดนี้ก็ยังมีส่วนสำคัญในการบำรุงเส้นผมให้เงางาม อย่างที่เราเคยเห็นว่ามักจะมีการนำดอกอัญชันมาหมักผม หรือนำไปทาบริเวณคิ้วเด็กให้คิ้วดกดำขึ้นนั่นล่ะค่ะ
แต่ที่น่าอัศจรรย์ไปยิ่งกว่านั้นคือสารแอนโทไซยานินนี้ก็ยังสามารถช่วยบำรุงสายตา กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ ยิ่งโดยเฉพาะกับผู้ป่วยเบาหวาน ดอกอัญชันนี้ก็เปรียบเสมือนทองคำเลย เพราะดอกอัญชันสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือด และช่วยบรรเทาภาวะเสื่อมสภาพของดวงตาที่เกิดจากโรคเบาหวานได้ รู้แบบนี้แล้วก็ต้องรีบหามาลิ้มลองเลยนะ
     เห็นไหมล่ะคะว่าความสวยงามของดอกไม้น่ะไม่ได้มีแค่ให้ชื่นชมเท่านั้น แต่ยังมีดีกับสุขภาพอีกเพียบ คราวนี้ก็อยู่ที่ว่าจะเลือกหยิบดอกไม้ชนิดใดมาลิ้มลองกันแล้วล่ะค่ะ แต่ก็อย่าเพลิดเพลินกับอาหารจากดอกไม้เพียงอย่างเดียวนะ ควรรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพชนิดอื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย จะได้มีสุขภาพที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ

ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต
ข้อมูลดีๆจาก กระปุกดอทคอม

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เทคนิคเนรมิตใบหน้าให้เรียวเล็ก

ความใฝ่ฝันของสาวๆทุกคนย่อมอยากมีใบหน้าที่สวยงาม เพราะใบหน้าเป็นหน้าต่างของหัวใจ กิกิ
แต่งหน้าให้ดูเรียวเล็ก ด้วย 7 ทริคที่จะมาเปลี่ยนชีวิตสาว ๆ ให้สวยแจ่มขึ้นกว่าเดิม งานนี้โบท็อกซ์ไม่ได้แอ้มเงินนะจ๊ะพูดเลย


รู้อยู่แล้วล่ะว่าใบหน้าที่เรียวเล็กเป็นสุดยอดปรารถนาของสาว ๆ แต่ถ้าเกิดมาเป็นคนหน้ากลมหรือหน้าเหลี่ยมโดยธรรมชาติ ก็คงทำได้แค่พึ่งโบท็อกซ์เพื่อให้หน้าดูเรียวเล็กลงใช่ไหมล่ะคะ แต่เดี๋ยวก่อน ... เพราะหากใครไม่มีงบพอที่จะไปฉีดโบท็อกซ์ ก็เนรมิตหน้าเรียวเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน ด้วยการแต่งหน้าตาม 7 ทริคที่นำมาฝากวันนี้ค่ะ


- คอนทัวร์คือคำตอบ
ถ้าจะถามว่าแต่งหน้ายังไงให้หน้าดูเรียวเล็กลง ก็คงต้องบอกว่าการคอนทัวร์นี่แหละเห็นผลสุด ๆ แค่นำแปรงแบนไปแตะรองพื้นสีเข้มแล้วนำมาแต้มที่กรอบหน้าผาก แก้ม และข้างจมูก แล้วใช้สีสว่างแตะไปที่กึ่งกลางหน้าผาก ใต้ตา เหนือริมฝีปาก และคาง จากนั้นเบลนด์ให้เนียนเข้ากับผิว เพียงเท่านี้ก็ช่วยทำให้หน้าบาน ๆ ดูแคบเรียวเล็กลงแล้ว

- ลงบรอนเซอร์เพิ่มความเป๊ะ
การใช้บรอนเซอร์นอกจากจะทำให้ผิวดูอบอุ่นและดูมีสุขภาพดีขึ้นแล้ว ก็ยังช่วยให้หน้าเรียวเล็กลงได้ด้วย แค่นำแปรงไปแตะบรอนเซอร์ จากนั้นนำมาวาดให้เป็นเลข 3 ตั้งแต่ขมับ เข้ามาที่แก้ม แล้วลงมายังกราม จากนั้นใช้แปรงเบลนด์วน ๆ ให้เนียนไปกับผิว

- ไฮไลท์เพิ่มมิติ
แป้งไฮไลท์ก็เนรมิตให้หน้าเรียวเล็กได้เหมือนกันนะ แค่ปาดแป้งไฮไลท์ลงไปที่ใต้ตาและสันจมูก แล้วใช้แปรงเบลนด์ให้เนียนไปกับผิว ก็จะช่วยให้หน้าที่ดูบานเป็นกระด้งดูเล็กลงในพริบตาเลย

- ลดความบวมของใบหน้าลง
วันไหนตื่นมาแล้วหน้าบวม ยิ่งจะทำให้หน้ากลม ๆ ดูบานเข้าไปอีก งั้นมาลองหยิบไพรเมอร์มาช่วยลดความบวมของหน้าลงดูสิคะ แถมไพรเมอร์ยังช่วยทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนและทำให้เครื่องสำอางติดทนบนใบหน้าตลอดทั้งวันด้วย

- ปัดบลัชออน 2 สี
อย่าเพิ่งคิดไปล่ะว่าใครจะไปบ้าปัดบลัชออนทีเดียว 2 สี เพราะรู้ไว้เถอะว่าวิธีช่วยให้หน้าเรียวเล็กลงได้จริง โดยให้เลือกสีบลัชออนมาแบบเข้มกับอ่อน แล้วปัดสีเข้มลงบนโหนกแก้ม จากนั้นปัดสีอ่อนต่อโดยปัดให้อยู่ใต้สีเข้มที่ปัดเอาไว้ ลองดูสิแล้วจะรู้ว่าผลลัพธ์ออกมาอย่างเริด

- ทาปากสีธรรมชาติ
รู้ไหมว่าลิปสติกสีเข้มน่ะทำให้หน้าของคุณดูกลมดูบานกว่าเดิมได้นะ ฉะนั้นเปลี่ยนจากการโฟกัสทาปากสีเข้ม มาเป็นการแต่งตาด้วยอายไลเนอร์ อายแชโดว์ และปัดมาสคาร่าแบบจัดเต็ม แล้วทาลิปสติกด้วยสีอ่อนหรือสีนู้ดดีกว่า

- เลือกทรงคิ้วให้ถูก
การใส่ใจในการแต่งคิ้วนอกจากจะทำให้ใบหน้าโดยรวมดูสวยแล้ว ถ้าเลือกรูปทรงคิ้วให้ดีก็ยังทำให้หน้าดูเรียวเล็กลงได้อีก โดยรูปคิ้วที่จะทำให้ใบหน้าของคุณเรียวเล็กลงได้นั้นต้องเป็นคิ้วที่ไม่บางเกินไป เป็นคิ้วที่ดูชัดเจน มีความโก่งสูง วิธีนี้แหละจะช่วยหลอกสายตาให้ดูว่าหน้าคุณน่ะเรียววีเชฟเลย

เห็นไหมล่ะคะว่าการที่จะเนรมิตให้หน้าเรียวได้ ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งคุณหมออย่างเดียวเลย แค่หยิบเมคอัพมาแล้วแต่งตาม 7 ทริคนี้ก็พอแล้ว


ที่มา : kapook.com

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ขนมไทย แคลอรี่ต่ำ

เมืองไทยของเรานี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารอร่อยไม่แพ้ชาติใดในโลกเลยค่ะ โดยเฉพาะขนมหวานแบบไทยๆ บางคนคิดว่าขนมไทยมีรสหวานทำให้อ้วน แต่สาวๆ รู้มั้ยค่ะว่าในขนมไทยบางชนิดมีแคลอรีที่ต่ำสามารถเลือกทานในปริมาณที่พอเหมาะ แค่นี้ก็ไม่ทำให้อ้วนได้แล้วจ้าาาาาาาา 



ขอบคุณภาพสวยๆจาก Home Number One
มาดูกันเลยค่ะว่า ขนมไทย 5 ชนิดที่แคลอรี่ต่ำสามารถทานได้โดยไม่ต้องกลัวอ้วนมีอะไรกันบ้าง..


  • ขนมกล้วย 1 จานเล็ก (90 กรัม) 57 แคลอรี
  • ขนมสาลี่ 1 ชิ้น (38 กรัม) 116 แคลอรี
  • ขนมผิง 27 ก้อน (43 กรัม) 128 แคลอรี
  • กล้วยบวชชี 4 ชิ้น 129 แคลอรี
  • ขนมบ้าบิ่น 1 ชิ้น (54 กรัม) 130 แคลอรี
ขนมไทยบางอย่างแคลอรีสูง บางอย่างแคลอรีต่ำ ถ้าเรารู้จักเลือกกินให้เหมาะสม ไม่มากเกินไปจนทุกข์กาย แต่ก็ไม่น้อยจนทุกข์ใจ เราก็จะมีความสุขกับขนมไทยๆ ที่หากินง่ายๆ ในบ้านเรา และที่สำคัญขนมไทยยังไงๆ ก็แคลอรีน้อยกว่าขนมฝรั่งแน่นอนค้าาา






ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต